วันนี้เมื่อปีที่แล้ว
นักวิ่งหลายคนชอบบอกว่า กิโลเมตรที่30-35
ในระยะฟูลมาราธอน
จะเป็นช่วงที่ปิศาจชอบออกมา
บ้างมาในรูปแบบของความเจ็บปวดทางร่างกาย
ตะคริวกิน ขาตึง ปวดเมื่อย อ่อนล้า
แต่บางทีก็เข้ามาสิงในสมอง
คอยสั่งให้เราหยุด พอเถอะ ไม่ต้องไปต่อ
ช่วงเวลานั้น คือช่วงที่เราได้คุยกับปิศาจมากที่สุด
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน "มัน คือตัวเราเอง"
ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น
ก้อยเหลือบมองไปเห็นผู้ชายคนนึง กับไม้ค้ำยันของเค้า
ทุกๆย่างของเค้า ค่อยๆก้าวอย่างมีจังหวะ แต่มั่นคง ไม่โงนเงน
สารภาพว่าตอนที่เห็นภาพนั้นครั้งแรก ก้อยช็อคไปเลย
ลืมความเจ็บของตัวเอง และวิ่งมองเค้าจากข้างหลังด้วยความทึ่งอยู่ซักพัก จึงตัดสินใจว่า
จะวิ่งไปข้างๆ และพูดคำว่า
"กัมบัตเตะเนะ" ที่แปลว่า "สู้ๆ" ให้เค้า
ไม่ทันที่ก้อยจะพูดออกมาด้วยซ้ำ ผู้ชายคนนี้หันมาเห็นก้อย และยิ้มให้ ไม่ต่างจากรอยยิ้มในรูปนี้
จากที่เราคิดว่า จะมาให้พลังกับเค้า
กลายเป็นเราได้รับพลังมหาศาล
จากเจอปิศาจ
กลับได้เจอ "ฮีโร่"
ฮีโร่ที่ไม่มีขา แต่วิ่งด้วยหัวใจ
แล้วเราละ... สองขาเราก็มี และมันก็ยังวิ่งได้อยู่
จะหยุดแค่นี้ ได้ยังไง?
ความรู้สึกในตอนนั้นมันจุกขึ้นมาจนก้อยพูดอะไรไม่ออก
ปิศาจได้หายไปแล้ว
เหลือแต่ก้อยคนเดิม ที่บอกตัวเองให้ไปต่อ
"เราทำได้ อีกนิดเดียว"
ทุกวันนี้เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่อยู่ในใจก้อยไม่เคยลืม
ความทรงจำในมาราธอนแรกที่คอยย้ำเตือนว่า "ก้อยไม่เก่ง แต่ก้อยไม่หยุด"
ทุกครั้งที่เหนื่อย ท้อ ขี้เกียจ
หรือมีข้ออ้างที่จะไม่ซ้อม
ก็จะมีภาพของผู้ชายคนนี้ขึ้นมาในหัว
และเรื่องของก้อย
ก็จะสลายกลายเป็นขี้ผงทันที...
ขอบคุณ คุณฮีโร่ขาเหล็ก :)
.
.
แด่ มาราธอนแรกในชีวิตของฉัน
18 กุมภาพันธ์ 2561
#KyotoMarathon2018
#ก้อยไม่เก่งแต่ก้อยไม่หยุด
#rachwinrunningdiary
#RachwinJourney ☆